วันจันทร์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2552

::: My Favourite Stuff : The Tales of Beedle the Bard :::

::: Introduction ^^ :::



คราวนี้ก็เป็นหัวข้อพิเศษของการทำ Blog ... นั่นก็คือ " My Favourite Stuff " นั่นเอง คราวนี้เราก็เรื่องที่น่าสนใจมากๆื คือเรื่อง " The Tales of Beedle the Bard " หรือแปลเป็นภาษาไทยง่ายๆ ว่า "บีเดิลยอดกวี" (มันง่ายตรงไหนใช่ไหมคับ ดูเหมือนจะต้องแปลไทยเป็นไทยอีก 555+ ^^ ) ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ก็คือ J.K.Rowling หรือนักเขียนวรรณกรรมเยาวชนสุดมหัศจรรย์ชุด Harry Potter นั่นเอง ^^ แล้วเขาก็มี Official Site ของเขาโดยเฉพาะเลยนะคับ http://www.jkrowling.com/ ใครสนใจเกี่ยวกับผู้เขียนคนนี้ สามารถเข้าไปติดตามได้เป็นพิเศษ แต่ว่าเว็บไซต์นี้จะเกี่ยวกับแฮร์รี่ พอตเตอร์ซะเป็นส่วนใหญ่ หรือใครที่อยากจะอ่านหนังสือเล่มนี้ก็สามารถหาซื้อหาอ่านได้ตามศูนย์หนังสือชั้นนำ แต่เราเป็นเด็กจุฬาฯ เพราะฉะนั้นเราต้องซื้อที่...ศูนย์หนังสือจุฬาลงกรณ์นั่นเอง อิอิ ^^




แต่ว่าเรื่องที่เราจะนำมาเป็น My Favourie Stuff วันนี้ไม่ใช่ Beedle the Bard ทั้งหมด แต่เป็นส่วนหนึ่งของหนังสือเล่มนี้...หลายคนคงพอเดาออกกันแล้ว(หรือเดาไม่ออกนะ ^^) Deathly Hallows หรือ เครื่องรางยมทูตนั่นเอง

::: The Tales of Beedle the Bard : Deathly Hallows ^^ :::



The Tales of Beedle the Bard เป็นนิทานที่ผู้คนในโลกของเวทมนตร์รู้จักกันเป็นอย่างดี เพราะเป็นนิทานที่ผู้ใหญ่เล่าให้เด็กฟังก่อนนอน ต่อมานิทานเรื่องนี้ถูกพิสูจน์ว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงของสามพี่น้องตระกูล Peverell นิทานเรื่องนี้จึงเป็นที่ตื่นตาตื่นใจของผู้วิเศษในโลกแห่งเวทมนตร์อย่างมาก ซึ่งบางคนถึงขั้นกล่าวว่า ถ้าใครได้ครอบครองเครื่องรางยมทูตทั้งสามอย่างได้ จะได้เป็น " นายแห่งยมทูต " หรือ " นายแห่งความตาย "

จุดเริ่มต้นของตำนานเริ่มจาก มีพี่น้องอยู่สามคนต้องการจะข้ามทะเลคลั่ง ไม่มีใครสามารถข้ามผ่านไปได้ แต่ด้วยความฉลาดของทั้งสามพี่น้องก็ได้ร่วมมือกันเสกสะพานขึ้นมาเพื่อข้ามผ่านทะเลนั้นไป เมื่อไปถึงอีกฝั่นก็พบกับยมทูต ยมทูตกล่าวว่า ทะเลนี้ไม่เคยมีใครผู้ใดข้ามได้มาก่อน พวกเขาเป็นพวกแรกที่สามารถข้ามมาได้ ยมทูตจึงให้พร 3 ประการแก่ทั้งสามพี่น้อง ด้วยความที่พี่คนโตหลงใหลในอำนาจและความแข็งแกร่ง จึงบอกกับยมทูตว่า " ข้าต้องการอาวุธที่จะทำให้ข้าเก่งกาจและไม่มีใครเอาชนะข้าได้ " ยมทูตจึงหักกิ่งไม้จากแถวๆ นั้นมากิ่งหนึ่ง เหลาให้เรียวงาม แล้วก็มอบให้แก่พี่ชายคนดนโตสุด นั่นก็คือ " Elder Wand " (บางคนเรียกว่า " ไม้แห่งความตาย " หรือ " ไม้แห่งโชคชะตา") นั่นเอง ต่อมายมทูตก็หัมมาที่ชายคนที่สอง แล้วถามกับพี่คนรองว่าเจ้าต้องการสิ่งใด พี่ชายคนรองต้องการเจอกับหญิงที่ตนเองรักที่ได้ตายจากไปแล้ว จึงบอกกับยมทูตว่า " ปรารถนาที่จะได้อะไรก็ตามที่จะทำให้คนตายกลับมามีชีวิตได้อีกครั้ง " ยมทูตจึงเรียกก้อนหินสีดำมา แล้วมอบให้แก่พี่ชายคนรอง " Resurrection Stone " หรือ " หินชุบวิญญาณ " นั่นเอง สุดท้ายยมทูตก็หันไปหาน้องคนสุดท้องและกล่าวคำถามเดิมเป็นครั้งที่สาม ด้วยความฉลาดของชายคนที่สามที่ไม่ไว้ใจยมทูต จึงตอบกลับไปว่า " ขอสิ่งใดก็ได้ที่ทำให้ออกไปจากที่นั่นโดยที่ยมทูตติดตามไปไม่ได้ " ยมทูตจึงมอบเสื้อคลุมของตนเองไปด้วยความไม่เต็มใจ นั่นก็คือ " Cloak of Invisibility " หรือ " ผ้าคลุมล่องหน " นั่นเอง

::: Elder Wand ^^ :::



หลังจากนั้นทั้งสามคนก็กลับมาใช้ชีวิตปกติ แต่ว่ามันไม่ปกติอีกแล้ว จากการพิสูจน์นิทานเรื่องนี้ข้างต้น ทำให้รู้ว่า พี่ชายตนโต Antioch Peverell ผู้ครองครอง Elder wand เขาได้ไปท้าประลองเวทย์กับผู้คนที่เขาต้องการประลองด้วยมาตลอด และด้วยอำนาจของไม้กายสิทธิ์วิเศษนั่นเองที่ทำให้เขาสามารถชนะได้ทุกคน แต่ด้วยความทะนงตัวอันไม่หยุดยั้ง ทำให้เขาถูกฆ่าในคืนหนึ่งขณะที่เขากำลังนอนอยู่ในบ้านของตนเอง และหลังจากนั้น ฆาตกรรมนองเลือดก็เกิดขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ทุกคนที่ต้องการไม้กายสิทธิ์เอลเดอร์จึงฆ่าผู้ที่เป็นเจ้าของของมัน และไม้กายสิทธิ์วิเศษนั้นก็ยังคงอยู่มาจึงถึงปัจจุบัน ซึ่งผู้ครอบครองคนปัจจุบันคือ Harry Potter


::: Resurrection Stone ^^ :::

พี่ชายคนที่สอง Cadmus Peverell ผู้ครอบครองหินชุบวิญญาณ ต้องการเจอกับหญิงที่ตนเองรักมาก จึงได้ใช้อำนาจของหินวิเศษนี้เรียกวิญญาณของเธอกลับขึ้นมาจากความตาย แต่สิ่งที่หวังกับสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นแตกต่างกันเสียเหลือเกิน เมื่อเขาถูกหญิงที่รักด่าทออย่างโหดร้ายว่าจะเรียกกลับมาจากการเสวยสุขหลังความตายทำไม ด้วยความเสียใจอย่างรุนแรง ทำให้เขาตัดสินใจฆ่าตัวตายเพื่อไปอยู่กับหญิงที่ตนรัก หินวิเศษนั้นก็ตกทอดมาถึง Marvolo Gaunt เขาจึงนำมาทำเป็นแหวนประจำตระกูล Gaunt แล้วแหวนนั้นก็ส่งต่อกันเรื่อยมาจนกระทั่ง Lord Voldemort นำไปทำเป็น Horcrux (คือสิ่งที่เจ้าของแบ่งวิญญาณลงไปเพื่อให้สามารถฟื้นคืนชีพได้ถ้าเกิดตาย) เจ้านายคนสุดท้ายของมันเท่าที่ประวัติศาสตร์เวทมนตร์สามารถหาหลักฐานได้ก็คือ Harry Potter ซึ่งกำลังตามหา Horcrux เพื่อหยุดยั้งการกลับมาของเจ้าแห่งศาสตร์มืดโวลเดอร์มอร์ เมื่อเขาทำลายวิญญาณที่อยู่ในนั้นได้แล้ว แต่เขาไม่ต้องการมัน เขาจึงโยนมันทิ้งไปในส่วนใดส่วนหนึ่งของ Hogwarts

::: Cloak of Invisibility ^^ :::


เครื่องรางยมทูตอย่างสุดท้าย Cloak of Invisibility หรือ ผ้าคลุมล่องหน ซึ่งน้องคนสุดท้อง Ignotus Peverell เป็นผู้ครองครอง เป็นของวิเศษอย่างเดียวในสามอย่างที่ไม่มีวันเสื่อมสภาพ เพราะมันไม่ได้ถูกเสกขึ้นมาเหมือนสองอย่างแรกและมันก็ไม่ได้ถูกถูกอาบด้วยคาถาพรางตา หรือ เสกคำแช่งลานตา หรือ ทอจากขนเดมิไกส์ที่ทำให้ล่องหนได้ หรืออะไรทำนองนั้น เขาอยู่อย่างมีความสุขและเสียชีวิตไปด้วยโรคชราและคุยกับยมทูตอย่างคนคุ้นเคย ผ้าคลุมล่องหนถูกส่งต่อไปยังตระกูล Potter จนก่อนวันที่ Lilly & James Potter จะถูกเจ้าแห่งศาสตร์มืดสังหาร ดัมเบิลดอร์ได้ขอยืมผ้าคลุมล่องหนไปตรวจสอบ หลังจากนั้น เมื่อแฮร์รี่เรียนปี 1 ที่ Hogwarts ดัมเบิลดอร์ก็ได้ส่งผ้าคลุมล่องหนคืนแก่แฮร์รี่

::: Synopsis ^^ :::


สัญลักษณ์ของเครื่องรางยมทูต คือ รูปสามเหลี่ยม มีเส้นตรงทับวงกลม ซึ่งทั้งสามสัญลักษณ์สามารถตีความหมายออกมาได้ นั่นคือ สัญลักษณ์สามเหลี่ยมแทน " Cloak of Invisibility " สัญลักษณ์วงกลมแทน " Resurrection Stone " สัญลักษณ์ขีดตรงกลาง " Elder Wand " ด้วยความเข้าใจผิดของสัญลักษณ์ของเครื่องรางยมทูต ใครต่อใครหลายคนต่างพากันคิดว่า เป็นสัญลักษณ์ของพ่อมดศาสตร์มืดผู้เคยโด่งดัง ในนามกรินเดลวัลด์ แท้ที่จริงแล้วเขาคือหนึ่งในผู้เชื่อในนิทานสามพี่น้อง นิทานของบีเดิลยอดกวี และออกติดตามมัน

...สาเหตุที่เราเลือกเรื่องนี้มีอยู่หลายเหตุผลเหมือนกัน ประการแรกคือ ครั้งนี้เป็นหัวข้อ My Favourtie Stuff เราก็ต้องเลือกเรื่องที่เราชอบมาแบ่งปันให้เพื่อนๆ ได้อ่านกัน ประการที่สอง คือ เรื่องนี้เป็นหัวข้อที่สะท้อนภาพสังคมไทยในปัจจุบันได้เป็นอย่างดี จากข้างต้นจะเห็นได้ว่า " คนที่โลภและหลงใหลในสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากเกินไป(อันนี้มองในด้านที่ว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งนั้นเป็นสิ่งที่มากเกินไป เป็นสิ่งที่ไม่ดีไม่เหมาะสม เช่น หลงใหลในอำนาจยศศักดิ์มากเกินไป) ความหายนะก็จะมาเยือนแก่ตนเอง แต่ถ้าเราเรียนรู้ที่จะยอมรับและรอบคอบที่จะปกป้องตนเอง ก็จะทำให้เราสามารถอยู่ได้อย่างมีความสุข " ถ้าเพื่อนๆ คนไหนมีความคิดเห็นที่ต่างออกไป สามารถแสดงได้อย่างเสรีเลยนะคับ เพราะ Blog นี้คือโลกแห่งเวทมนตร์(คงคิดว่าเกี่ยวกันไหมใช่ไหมคับ 555+) ^^
P.S. Beedle the Bard แปลเป็นภาษาไทยง่ายๆ ว่า บีเดิลยอดกวี (หลายคนคงคิดอยู่ว่า ง่ายตรงไหน เหมือนต้องแปลไทยเป็นไทยอีก 555+) บีเดิลจึงเป็นผู้เขียนตำนานนี้ขึ้นมา (คล้ายๆ นิทานอีสปอะ)
::: Reference ^^ :::



ขอบคุณเพื่อนๆ และผู้ชมทุกคนที่แวะเข้ามาอ่านบล็อกนี้นะคับ ^^

----------------------------------------

วันพุธที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2552

::: Albus Dumbledore Part II (Full Graphy) :::

Albus Dumbledore เป็นลูกชายคนโตสุดของ Percival & Kendra Dumbledore (เพอร์ซิวาล & เคนดรา ดัมเบิลดอร์) มีน้องอีก 2 คนด้วยกันก็คือ Aberfoth Dumbledore (อาเบอร์ฟอร์ธ ดัมเบิลดอร์) และ Ariana Dumbledore (แอรีอานนา ดัมเบิลดอร์) เมื่ออัลบัสอายุได้ 11 ขวบก็ได้รับคัดเลือกเข้าเรียนในโรงเรียนคาถา พ่อมด แม่มดและเวทมนตร์ศาสตร์ Hogwarts โดยถูกคัดสรรให้อยู่ในบ้าน Gryffindor เมื่อได้เข้าเรียนในโรงเรียนแห่งนี้ อัลบัสก็ได้รู้จักกับ Elphias Doge (เอลฟายอัส โดจ) อัลบัสเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ทางด้านเวทมนตร์อย่างมาก เพราะทุกรางวัลที่ Hogwarts เคยตั้งมา อัลบัสสามารถกวาดมาได้ทุกรางวัล อีกทั้ง ตอนที่มีการสอบวัดระดับ ส.พ.บ.ส. กรรมการคุมสอบได้กล่าวไว้ว่า เขาใช้ไม้กายสิทธิ์ได้ในแบบที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อนเลย หลังจากที่อัลบัสเข้าเรียนได้ 3 ปี อาเบอร์ฟอร์ธก็ได้เข้าเรียนที่ Hogwarts โดยเขาไม่เหมือนกับพี่ชายของเขาเลยและไม่ตั้งใจเรียน เมื่อดัมเบิลดอร์เรียนจบจาก Hogwarts เขาก็วางแผนที่จะเดินทางไปเที่ยวรอบโลกกับเพื่อนสนิทของเขา คือ โดจ แต่ก่อนหน้านั้นหนึ่งวันเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น เคนคราเสียชีวิตลงด้วยอุบัติเหตุ เนื่องจาก แอรีอานนาไม่สามารถควบคุมเวทมนตร์ของเธอได้ ซึ่งเป็นผลมาจากในสมัยเด็กมีเด็กผู้ชายกลุ่มหนึ่งมาเห็นแอรีอานนาใช้เวทมนตร์เข้า เด็กพวกนั้นจึงรุมเข้ามาทำร้ายและบังคับให้เธอหยุดใช้เวทมนตร์ แอรรีอานนาจึงไม่สามารถควบคุมเวทมนตร์ได้ตั่งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

วันอังคารที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2552

::: Albus Dumbledore Part I :::

คราวนี้ก็เป็นคอลัมน์พิเศษ ซึ่งทุกคนก็คงจะเห็นจากหัวข้อเรื่องแล้วว่าเกี่ยวกับอะไร...Albus Dumbledore นั่นเอง ^^ หลายคนคงรู้ว่าทำไมเราถึงต้องเป็นตัวละครนี้ นั่นก็เพราะ...บอกก็ก็ไม่สนุกสิคร๊าบบ ต้องลองอ่านเรื่องราวดู สำหรับคนที่รู้จักอยู่แล้ว ก็สามารถแสดงความคิดเห็นและรายละเอียดเพิ่มเติม หรืออาจจะเป็นสิ่งที่ต้องการรู้เพิ่มเติมได้นะคับ ผมจะพยายามหาข้อมูลมาตอบให้ ^^

Albus Dumbledore หรือ Full name ก็คือ Albus Percival Wulfric Brian Dumbledore เคยเป็นอาจารย์ใหญ่ของโรงเรียนพ่อมด แม่มดและเวทมนตร์ศาสตร์ Hogwarts ซึ่งเป็นสถานที่หลักในการดำเนินเรื่องของ series ชุด Harry Potter หรือหลายคนคงจะได้ดูในรูปแบบภาพยนตร์มาแล้ว มีการกล่าวว่า J.K.Rowling ผู้เขียน Series เรื่องนี้ได้สร้างศาสตราจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคจากบุคลิกของ Alfred Dunn อดีตอาจารย์ใหญ่ของโรงเรียน St.Michale ประเทศอังกฤษ สำหรับในรูปแบบภาพยนตร์ ผู้รับบทเป็นดัมเบิลดอร์ใน 2 ภาคแรกคือ Richard Harris ซึ่งปัจจุบันได้เสียชีวิตไปในวันที่ 25 ตุลาคม 2002 (อายุ 72 ปี) ด้วยโรค Hodgkin และผู้ที่รับบทเป็นอาจารย์ใหญ่คนต่อมาคือ Sir Micheal Gambon ผู้ที่เคยรับบทเป็นพ่อมดขาว Grandalf ในเรื่อง Lords of the Ring

สำหรับประวัติของดัมเบิลดอร์จริงๆ ไว้ติดตามต่อในฉบับหน้านะคับ (เดี๋ยวอ่าน Mol Bio ไม่ทัน ^^)...

วันเสาร์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2552

::: ความสุข.......หรือเปล่า ตอนที่ 1 :::

ในช่วงชีวิตที่ผ่านมาก็หลายปีแล้ว แต่จะมีใครรู้บ้างว่าความสุขคืออะไร เสียงหนึ่งก็บอกว่า ความสุขคือการอยู่อย่างสบาย ใช้จ่ายเงินได้คล่องมือ ซึ่งคนกลุ่มนี้มักจะมีบุคลิกลักษณะที่ทุกคนก็รู้กันอยู่ว่าเป็นอย่างไร อีกเสียงหนึ่งบอกว่า ความสุขคือการที่เราได้ในสิ่งที่เราต้องการ แต่ว่าสิ่งที่เราต้องการคืออะไรกัน...เงิน ความสุขสบาย อำนาจ เห็นแก่ตัว เอาเปรียบผู้อื่นเพื่อให้ได้มาซึ่งชัยชนะอันโสโครก หรือแม้กระทั่ง...ความรัก แต่เสียงสุดท้ายที่ได้ยินและเป็นเสียงที่แว่วเบามากในสภาพสังคมปัจจุบันก็คือ การที่เห็นคนอื่นมีความสุข แต่ว่าจะมีสักกี่คนกันที่อยากเห็นผู้อื่นมีความสุขอย่างจริงใจ...................โปรดติดตามฉบับต่อไป ^^

วันพฤหัสบดีที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2552

::: LIFE LESSON 5 - Learn to Live ^^ :::

บทเรียนที่ 5 การเสียสละ






" หลายปีมาแล้ว ตอนที่ฉันไปทำงานเป็นอาสาสมัครในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ฉันได้รู้จักกับเด็กหญิงคนหนึ่งชื่อ ลิซ ซึ่งป่วยเป็นโรคร้ายที่มีน้อยคนที่จะเป็น โอกาสที่เธอจะหายจากโรคนี้ได้คือ ต้องทำการถ่ายเลือดจากน้องชายอายุห้าขวบของเธอ ผู้ซึ่งรอดจากโรคร้ายนี้ได้อย่างปาฏิหาริย์ จึงทำให้เขาร่างกายเขาสร้างภูมิคุ้มกันโรคร้ายนี้ขึ้นมา หมออธิบายสถานการณ์ให้น้องชายของเธอฟังและถามเด็กชายว่า เขาต้องการจะให้เลือดของเขาแก่พี่สาวหรือไม่ ฉันเห็นเขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะสูดหายใจลึกแล้วพูดว่า 'ได้ครับ หากมันช่วยพี่สาวผมได้' เมื่อทำการถ่ายเลือด เขานอนยิ้มอยู่ที่เตียงข้างๆ พี่สาว ในขณะที่เราเริ่มจะเห็นสีสันคืนสู้แก้มของเธอ หน้าของเด็กชายก็เริ่มซีดและรอยยิ้มก็ค่อยๆ จางหายไป เด็กชายมองไปที่หมอและถามด้วยเสียงสั่นเครือ ' ผมกำลังจะตายใช่ไหม?' ด้วยความเป็นเด็ก เขาเข้าใจหมอผิดไป เด็กชายคิดว่าเขาต้องให้เลือดทั้งหมดของเขาแก่พี่สาว เพื่อช่วยชีวิตเธอ แต่อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังตัดสินใจที่จะถ่ายเลือดให้พี่สาว แม้จะทำให้เขาต้องตายก็ตาม "

บทนี้ก็เป็นบทสุดท้ายสำหรับ Life Lesson ชุดนี้แล้วนะคับ ไว้ถ้าเจอบทความดีๆ จะเอามาฝากนะคับ

สุดท้ายก็ขอสรุปทั้ง 5 บทเรียนนะคับว่ามีความสำคัญอย่างไร


บทเรียนที่ 1 คนทำความสะอาด --> ให้ความสำคัญกับผู้อื่น ถึงแม้เราอาจจะคิดว่าเขาไม่สำคัญก็ตาม


บทเรียนที่ 2 กำลังใจกลางสายฝน --> เราไม่ควรตามกระแสสังคม แต่ควรใช้สติปัญญาคิดว่าสิ่งใดควรสิ่งใดไม่ควร + แม้สิ่งเล็กน้อยที่เราคิดว่าไม่สำคัญ อาจจะกลายเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ผู้อื่นทำสิ่งที่เขาต้องการสำเร็จก็เป็นได้


บทเรียนที่ 3 ไอศครีมซันเด --> แพทย์เป็นอาชีพที่เราต้องมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ดังนั้นอารมณ์และความอดทนจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก แม้เราจะคิดว่าเขาไม่สำคัญต่อเรา แต่พึงระลึกไว้เสมอว่าเขาอาจจะคิดว่าเราสำคัญกับเขามากก็ได้


บทเรียนที่ 4 อุปสรรคกับโอกาส --> อุปสรรคที่เราสามารถผ่านมันไปได้ อาจจะกลายเป็นสิ่งที่สร้างโอกาสใหม่ๆ ให้กับเราได้ + การเอาแต่โทษผู้อื่นไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นมา รังแต่จะทำให้ตนเองน่ารังเกียจ


บทเรียนที่ 5 การเสียสละ --> การเสียสละอาจจะทำให้เราได้รู้จักกับสิ่งที่สำคัญกับเราก็ได้นะ ^^

วันอังคารที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2552

::: LIFE LESSON 4 - Learn to Live ^^ :::

บทเรียนที่สี่ อุปสรรคกับโอกาส



" ในยุคโบราณมีหินผาตกลงมาขวางถนนเส้นหนึ่ง เมื่อพระราชามาพบเข้าจึงซ่อนพระองค์อยู่ เพื่อคอยดูว่าจะมีใครมาเอาหินใหญ่ก้อนนั้นออกไปจากทาง เมื่อเสนาบดีในราชสำนักของพระองค์และพ่อค้าผู้ร่ำรวยผ่านมา ก็เพียงแต่อ้อมหินผาก้อนใหญ่นั้นไป แล้วกล่าวตำหนิพระราชาต่างๆ นานาที่พระองค์ไม่ใส่พระทัยที่จะดูแลทางให้ดี แต่ก็ไม่มีใครพยายามที่จะเอาหินนั้นออกไปให้พ้นทาง จนกระทั่งชาวบ้านคนหนึ่งแบกผักกองใหญ่ผ่านมา เมื่อเขาเดินมาถึงหินผานั้น เขาก็วางสัมภาระลง แล้วพยายามที่จะขยับก้อนหินนั้นให้พ้นทาง หลังจากทั้งผลักทั้งดึงหินก้อนนั้นอยู่นาน ในที่สุดเขาก็ทำสำเร็จ เมื่อเขาหยิบสัมภาระของเขาขึ้นมา ก็เห็นถุงเงินวางอยู่ตรงจุดที่ก้อนหินผาเคยอยู่ ในถุงนั้นมีเหรียญทองและจดหมายจากพระราชา เขียนไว้ว่า 'ทองในถุงนั้นเป็นของผู้ที่เอาหินผาออกไปจากถนน' ชาวบ้านคนนั้นได้รู้สิ่งที่เราไม่เคยได้รู้ว่า 'ทุกๆอุปสรรคที่กีดขวางทางนั้น จะมอบโอกาสที่เราจะดีขึ้นให้กับเรา'

วันจันทร์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2552

::: LIFE LESSON 3 - Learn to Live ^^ :::

บทเรียนที่ 3 ไอศครีมซันเด


" ในสมัยที่ไอศครีมซันเดยังมีราคาถูกอยู่ เด็กชายอายุสิบขวบคนหนึ่งเข้าไปใน Coffee Shop ของโรงแรมแห่งหนึ่งแล้วนั่งที่โต๊ะ เมื่อพนักงานเสิร์ฟเดินมาที่โต๊ะ เด็กชายก็ถามว่า ' ไอศครีมซันเดย์ ราคาเท่าไหร่ครับ? ' ' ห้าสิบเซ็นต์ ' พนักงานเสิร์ฟสาวตอบ แล้วเด็กชายก็ดึงมือออกจากกระเป๋าแล้วก็นับเหรียญในมือ 'งั้นไอศกรีมเปล่าๆ ล่ะครับ ราคาเท่าไหร่?' เด็กชายถามอีก ตอนนี้เริ่มมีคนรอโต๊ะมากขึ้นและพนักงานเสิร์ฟสาวก็เริ่มจะหมดความอดทน ' สามสิบห้าเซ็นต์ ' เธอตอบห้วนๆ เด็กชายนับเหรียญในมืออีกครั้ง ' ผมขอไอศครีมเปล่าครับ ' เด็กชายบอก แล้วพนักงานเสิร์ฟสาวก็เอาไอศครีมมาให้พร้อมทั้งใบเสร็จแล้วเธอก็เดินหนีไป เมื่อเด็กชายทานไอศครีมหมดก็จ่ายเงินแล้วก็จากไป เมื่อพนักงานเสิร์ฟเดินกลับมา เธอก็เริ่มร้องไห้ เมื่อเธอเช็ดโต๊ะ บนโต๊ะนั้นมีเหรียญนิกเกิลราคาห้าเซ็นต์สองเหรียญและเหรียญเพนนีอีกห้าเหรียญวางอยู่อย่างบรรจงข้างถ้วยไอศครีมเปล่านั้น เห็นไหมว่า ที่เด็กชายไม่ทานไอศครีมซันเด เพราะเขาต้องเหลือเงินไว้ทิปพนักงานเสิร์ฟสาวคนนั้น "

To Be Continued

วันอาทิตย์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2552

::: LIFE LESSON 2 - Learn to Live ^^ :::

บทเรียนที่ 2 กำลังใจกลางสายฝน



" คืนหนึ่ง เวลา 23:30 น. สตรีสูงอายุเชื้อสายแอฟริกันคนหนึ่งยืนอยู่ริมทางหลวงสายบามา ตากสายฝนที่ตกหนักอยู่ เนื่องจากรถของเธอเสียและเธอมีความจำเป็นต้องเดินทางต่อไปแม้ตัวเธอจะเปียกโชกก็ตาม เธอตัดสินใจโบกรถคันที่วิ่งผ่านมาคันแล้วคันเล่า จนชายหนุ่มผิวขาวผู้หนึ่งหยุดรถเพื่อช่วยเหลือเธอซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้ในยุคที่มีความขัดแย้งทางสีผิวอย่างในทศวรรษที่ 60 ชายหนุ่มช่วยเหลือให้เธอปลอดภัยและส่งเธอขึ้นรถแท็กซี่ แม้ว่าเธอจะเร่งรีบมาก แต่ก็ขอบคุณเขาและจดที่อยู่ของเขาไปด้วย เจ็ดวันหลังจากนั้นก็มีชายคนหนึ่งมาเคาะประตูบ้านของเขา เขาประหลาดใจมากเพราะโทรทัศน์สีจอยักษ์เครื่องหนึ่งถูกนำมาส่งยังบ้านของเขาและมีข้อความแนบมาด้วย มีใจความว่า 'ขอบพระคุณมากสำหรับความช่วยเหลือบนทางหลวงในคืนนั้น ฝนไม่ได้ชะแต่เพียงเสื้อผ้าของฉันเท่านั้น แต่ชะเอากำลังใจของฉันไปด้วย แต่เป็นเพราะคุณ ฉันจึงสามารถไปดูใจสามีที่กำลังจะเสียชีวิตได้ทันเวลาก่อนที่เขาจะสิ้นลมพอดี ขอพระเจ้าอวยพรคุณ สำหรับการช่วยฉันและการช่วยเหลือผู้อื่นอย่างไม่เห็นแก่ตัวของคุณ' ด้วยความจริงใจ นางแนท คิง โคล "

To Be Continued

วันเสาร์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2552

::: LIFE LESSON - Learn to Live ^^ :::

หลังจากเทศกาลปีใหม่ผ่านพ้นไปแล้ว เพื่อนๆ ก็คงจะได้พักผ่อนกันอย่างเต็มที่แล้ว แต่สำหรับเพื่อนๆ ที่ยังพักผ่อนไม่เต็มที่ เราก็มีบทความๆ หนึ่งมาให้อ่าน ขอ synopsis ไว้เล็กน้อยแล้วกันนะคับ ^^

" บทความนี้ประกอบด้วยบทเรียน 5 บทเรียนด้วยกัน ทั้ง 5 บทเรียนนี้ เราคิดว่ามันเกี่ยวข้องกับวิชาชีพแพทย์ทั้ง 5 บทเรียน เราก็เลยเอามาฝากเพื่อนๆ ไว้เป็นข้อคิดเตือนใจตนเองคับ ^^ "


ป.ล. ถ้าตัวหนังสือเล็กไปก็บอกกันได้นะคับ ( หรือจะปรับจาก View ->Text Size บน Toolbars ของ IE ก็ได้คับ ^^ )



บทเรียนที่ 1 คนทำความสะอาด


" เมื่อครั้งที่ฉันเข้าเรียนในวิทยาลัยได้สองเดือน อาจารย์ให้พวกเราทำแบบทดสอบชุดหนึ่ง ฉันเป็นนักเรียนที่ตั้งใจเรียนจึงตอบคำถามในแบบทดสอบได้อย่างสบาย จนมาถึงคำถามข้อสุดท้าย... 'สุภาพสตรีที่เป็นคนทำความสะอาดโรงเรียนชื่อว่าอะไร?' ฉันคิดว่าต้องเป็นเรื่องตลกอะไรสักอย่างแน่ ฉันเคยเจอคนทำความสะอาดหลายครั้ง เธอเป็นคนตัวสูง ผมดำและอายุ 50 กว่าๆ แล้ว แต่ฉันจะรู้ชื่อเธอได้อย่างไร?

ฉันส่งกระดาษคำตอบ โดยไม่ได้ตอบข้อสุดท้ายไป ก่อนหมดคาบเรียนวันนั้น นักศึกษาคนหนึ่งถามว่า คำถามข้อสุดท้ายจะถูกคิดรวมในคะแนนของผลการเรียนด้วยหรือไม่ 'แน่นอน' อาจารย์ตอบ 'เพราะเมื่อเธอต้องเข้าทำงาน เธอจะต้องพบกับผู้คนมากมายซึ่งทุกคนมีความสำคัญพอที่จะได้รับความสนใจและเอาใจใส่ แม้ว่าพวกเธอจะทำได้แค่เพียงยิ้มให้และกล่าวสวัสดีก็ตาม' "


To Be Continued

วันพฤหัสบดีที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2552

:::Happy New Year 2009/2552 นะคับ ^^ :::

ตอนนี้ก็เวลา 1.33 นาฬิกาของวันที่ 1 มกราคม 2552 แล้ว เป็นปีใหม่ที่เราพึ่งจะได้พบหน้าพบตากัน

สัญลักษณ์นักษัตรของปีนี้ก็คือ คุณลุงฉลู (นึกถึงฉงนกับไฉงในเจ้าขุนทองอะ ^^) ดูจากปีแล้ว แสดงว่าปีนี้เราก็ต้องมีความอดทนมากๆ เหมือนกับคุณลุงฉลูที่พากเพียรทำนาสร้างผลผลิตทางการเกษตรให้เราได้บริโภค จากประโยคที่เราชอบเป็นการส่วนตัวก็คือ " ความทุกข์ที่เกินทน จะหลอมคนให้ทนทาน " พึงระลึกไว้เสมอว่าความสุขที่ได้มาด้วยความยากลำบากทำให้เรามีความสุขได้ดีกว่าความสุขที่ฉาบฉวย ไม่มีแก่นสารนะคับ ^^

ปีใหม่ก็ขอให้มีความสุข สุขภาพแข็งแรง apple เต็มบ้าน apple เต็มเมืองนะคับ เพื่อนๆ

ป.ล. สองเดือนแห่งโชคชะตากำลังจะมาเยือนแล้วคับ ^^


ป.ล.2 มีคำถามว่าทำไมต้อง apple ก็เพราะว่าจุดเด่นของแอปเปิ้ลคือ A ไงคับ 555+